26/9/57

ปมเหตุแห่งการเลิกคาดเชือก


ใบประกาศคู่มวย ณ สวนกุหลาบ - ร.๖

       หากกล่าวถึง วงการมวยในครั้งอดีต การชุมนุมนักมวยครั้งสำคัญ ครั้งหนึ่งของแผ่นดินสยามนี้ คือ การแข่งขัน ตีมวย สนามมวยสวนกุหลาบ (.. ๒๔๖๓-๒๔๖๕) จัดขึ้นเพื่อหาเงินซื้อปืนให้กับกองเสือป่า ใน สมัยรัชกาลที่  
       เหตุการณ์นี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง การชกมวยไทยแบบอาชีพขึ้น จากกองมวยตามหัวเมือง หมู่บ้าน สู่นักมวยในจวนท่านเจ้าเมือง โดยมี สมุหเทศาภิบาล และข้าหลวงตามหัวเมืองต่างๆ เป็นผู้จัดหานักมวยที่มีฝีมือดี คัดเลือกตัวส่งเข้าสู่ การเข้าแข่งขันชกมวยในพระมหานคร

       นักมวยมากหน้าหลายตา ต่างชั้นต่างระดับฝีมือ เดินทางรอนแรม ฝ่าฟันมาจนสุดเส้นทางสายการต่อสู้ มีทั้งผู้ชนะและผู้พ่ายแพ้ เลือดและเหงื่อประพรมผืนหญ้าลานดิน ณ สนามมวยสวนกุหลาบแห่งนั้น
       หลักการชิงชัยสิ้นสุด นักมวยหลายคนบ้างก็ปักหลักอยู่ในเมืองรับใช้ในจวนเจ้านาย หากโชคเข้าข้างบ้างก็ได้เข้ารับราชการ บ้างก็กลับภูมิลำเนาเดิมทำไร่ไถ่นาดั้งเดิมมา

       ในบรรดานักมวยที่เข้ามาแสวงโชคและชื่อเสียง ในครั้งครานั้นต่างได้แสดงรูปลักษณ์ลีลา ความสามารถในเชิงหมัดมวย ซึ่งเป็นแบบฉบับเฉพาะหมู่ เฉพาะภาค ของตนออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่หมู่ชน ในศาสตร์ พาหุยุทธ์วิทยา อันบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไท เลือดนักสู้ ผู้มีศิลปะการต่อสู้ประจำชาติตน ที่เรียกขานไปทั่วโลกว่า... มวยไทย

การชกมวยหน้าพระที่นั่ง สมัย ร.๕

       คู่มวยที่สร้างชัยชนะให้กลายเป็นตำนาน และยังเป็นผู้เปลี่ยนเส้นทางวงการมวยคาดเชือก ให้พลิกผันไปตลอดกาล คือ นายแพ เลี้ยงประเสริฐ หนึ่งในนักมวย ใบเถา จากบ้านท่าเสา เมืองอุตรดิตถ์ กับอีกหนึ่งนักชกจาก พระตะบอง นาม นายเจีย แขกเขมร (เจีย พระตะบอง) มวยฝีมือดีจากแถบชายแดนตะวันออก
        เล่ากันมาว่า... ผลงานการชกของ นายแพ กับ นายเจีย นั้นเป็นที่รำลือ เพราะนายแพได้ใช้เชิงหมัดกลมวยด้วยการสืบทิ่มหมัดหงาย
เข้าที่ลูกกระเดือกนายเจียในท่า หนุมานถวายแหวน อันลือลั่น เป็นเหตุให้นายเจียถึงกับหมดสติคาเชือกกั้นเวที นายแพเห็นเช่นนั้นก็คะเนว่าคู่ปรปักษ์ยังไม่ล้ม จึงได้เข้ากระหน่ำตีไม่นับ จนกรรมการเข้าห้ามหย่าศึก และเข้าปฐมพยาบาล แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขให้นายเจียฟื้นคืนสติได้ จึงต้องนำส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน สุดท้ายนายเจียได้สิ้นใจในเวลาต่อมา

         เป็นอุบัติเหตุแห่งเหตุการณ์สำคัญใน ยุคสนามมวยหลักเมือง (. .. ๒๔๖๖-๒๔๗๒) ภายใต้กฎกติกาการชกมวยคาดเชือก อันว่าด้วยมาตราหนึ่งใน พระธรรมนูญลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ ๑๑๙ บัญญัติ ไว้ว่า...

" ...ชนทั้งสองเป็นเอกจิตรเอกฉันท์ 
ตีมวยด้วยกันก็ดี แลปล้ำกันก็ดี 
และผู้หนึ่งต้องเจ็บปวดก็ดี โค่นหักถึงแก่มรณภาพก็ดี 
ท่านว่าหาโทษมิได้

อนึ่ง ผู้ยุยงก็ดี ผู้ตกรางวัลก็ดี 
ให้ปล้ำตีนั้น ผู้ยุหาโทษมิได้ 
เพราะผู้ยุนั้น จะได้มีจิตเจตนาที่จะใคร่ให้สิ้นชีวิตหามิได้
แต่จะใคร่ดูเล่นเป็นสุขภาพ 
เป็นกรรมของผู้ถึงมรณภาพเองแล...ฯ "
  

              เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็น มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมวยเวที    โดยกระทรวงมหาดไทยในยุคนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๑-๒๔๗๒) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น มีนายพลตรีพระยาฤทธิ์ไกรเกรียงหาญ  เป็นแม่งานในการกำกับดูแล  ปรับเปลี่ยนกฎกติกา  การตีมวยคาดเชือก ตลอดจนมีการบังคับให้นักมวยต้องสวมนวมแบบสากล และสวมถุงเท้า ในการชกต่อยมวย  
            อันส่งผลให้ศิลปะวิทยา การต่อสู้แบบมวยคาดเชือก ต้องย่อหย่อนขาดหายความเป็นศิลปะและศาสตร์ลงไปอย่างน่าเสียดาย... ลูกไม้ กลมวยการจับกุม ทุ่มทับ ก็พลอยขาดการสืบเล่น เฟ้นต่อกันมาอีกด้วย

            หนทางแห่งชัยชนะของนักมวยคาดเชือก ในความพยายามที่จะกอบกู้ รักษาศาสตร์แห่งวิชามวยโบราณเอาไว้นั้น... ลางเลือนลงทุกที นับแต่มีการประกาศเลิกคาดเชือกในครั้งนั้น 
            จวบจนปัจจุบันสมัย (พ.ศ. ๒๕๕๐) ด้วยระยะเวลาไม่ถึง   ๘๐ปี หากจะนับก็แค่เพียงชั่วอายุคนคนหนึ่งเท่านั้น   
            แต่...ศาสตร์ศิลป์แห่งวิชา ความรู้ที่เกี่ยวกับ มวยคาดเชือก ก็แทบจะเลือนหายไปพร้อมกับ ครูผู้เฒ่า คนแล้วคนเล่า นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย จนต้องทอดถอนลมหายใจสักเฮือก.
 

 


โดย.... แหลม - ศักย์ภูมิ

  26 กันยายน 2557